โค้ชชิ่งแบบผู้นำ: ปลุกพลังทีมงานให้พุ่งทะยาน แบบที่ไม่เคยรู้!

webmaster

**

A collaborative workspace filled with diverse Thai professionals engaged in active learning. Some are brainstorming ideas on a whiteboard, others are participating in a workshop using laptops. The atmosphere is open, encouraging, and filled with positive energy. Thai script and learning resources are visible in the background.

**

การสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานไม่ใช่แค่การสั่งงาน แต่เป็นการปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวพวกเขา การโค้ชชิ่งแบบผู้นำจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงเอาความสามารถเหล่านั้นออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรและตัวพนักงานเอง ลองนึกภาพว่าถ้าเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการสนับสนุน และมีโอกาสเติบโตอย่างเต็มที่ องค์กรของเราจะไปได้ไกลแค่ไหน?

การโค้ชชิ่งไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นปรัชญาในการบริหารคนที่มองคนเป็น “คน” ไม่ใช่แค่ “ทรัพยากร”มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสร้างแรงจูงใจพนักงานผ่านการโค้ชชิ่งแบบผู้นำกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกในบทความด้านล่างนี้เลยครับ!

ปลดล็อกศักยภาพ: การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการเติบโต

งแบบผ - 이미지 1
การโค้ชชิ่งไม่ใช่แค่การบอกให้พนักงานทำอะไร แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะลองผิดลองถูก เรียนรู้จากความผิดพลาด และเติบโตอย่างต่อเนื่อง การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้เริ่มต้นจากการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของพนักงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ การให้ความสำคัญกับความคิดเห็นเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าเราให้คุณค่ากับพวกเขา และพร้อมที่จะรับฟังสิ่งที่พวกเขามี

1. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงความคิดเห็น

2. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การเรียนรู้ไม่ควรหยุดอยู่แค่ในห้องอบรม แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพนักงาน การสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมคอร์สเรียน สัมมนา หรือเวิร์คช็อปต่างๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราลงทุนในอนาคตของพวกเขา นอกจากนี้ การส่งเสริมให้พนักงานอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ หรือดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับงานของพวกเขาก็เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะและความรู้

3. ให้โอกาสในการลองผิดลองถูก

ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวความผิดพลาดเป็นสิ่งสำคัญ การให้โอกาสพวกเขาได้ทดลองไอเดียใหม่ๆ แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จเสมอไป จะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การให้ feedback อย่างสร้างสรรค์เมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะช่วยให้พวกเขาสามารถปรับปรุงและพัฒนาตัวเองได้

แรงบันดาลใจจากภายใน: การค้นหา “ทำไม” ในสิ่งที่ทำ

เงินเดือน โบนัส และสวัสดิการต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่ง พนักงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภายในคือพนักงานที่ทำงานด้วยใจรัก พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำมีความหมาย และมีส่วนช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย การค้นหา “ทำไม” ในสิ่งที่ทำเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่างานของพวกเขาเชื่อมโยงกับเป้าหมายขององค์กรอย่างไร

1. เชื่อมโยงงานกับเป้าหมายขององค์กร

พนักงานที่เข้าใจว่างานของพวกเขามีส่วนช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายอย่างไร จะรู้สึกว่างานของพวกเขามีความหมายมากขึ้น การสื่อสารเป้าหมายขององค์กรให้ชัดเจน และอธิบายว่าแต่ละคนมีบทบาทสำคัญอย่างไรในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายขององค์กร จะช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของและมีแรงจูงใจมากขึ้น

2. สนับสนุนการเติบโตในสายอาชีพ

พนักงานที่รู้สึกว่าพวกเขากำลังเติบโตและพัฒนาในสายอาชีพ จะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น การให้โอกาสพวกเขาได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เข้าร่วมโครงการที่ท้าทาย และรับผิดชอบงานที่สำคัญ จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังก้าวหน้า นอกจากนี้ การมีแผนพัฒนาอาชีพที่ชัดเจน จะช่วยให้พวกเขามองเห็นอนาคตของตัวเองในองค์กร และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

3. สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม

พนักงานที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม จะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกได้รับการยอมรับ สนับสนุน และให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญ การจัดกิจกรรม team building การให้ feedback อย่างสม่ำเสมอ และการเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกในทีม และสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: กุญแจสำคัญสู่ความเข้าใจและความร่วมมือ

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญของการโค้ชชิ่งแบบผู้นำ การสื่อสารที่ไม่ดีอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง และความไม่พอใจ การสื่อสารที่ดีเริ่มต้นจากการรับฟังอย่างตั้งใจ การถามคำถามที่กระตุ้นความคิด และการให้ feedback ที่สร้างสรรค์

1. ฝึกฝนการฟังอย่างตั้งใจ

การฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่การได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูด แต่เป็นการทำความเข้าใจความรู้สึก ความคิด และความต้องการของพวกเขา การให้ความสนใจกับภาษากาย น้ำเสียง และอารมณ์ของผู้พูด จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อสารได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการขัดจังหวะ การตัดสิน และการเตรียมคำตอบในขณะที่ฟัง จะช่วยให้เราฟังได้อย่างตั้งใจมากขึ้น

2. ใช้คำถามเพื่อกระตุ้นความคิด

คำถามที่ดีสามารถกระตุ้นให้พนักงานคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และพัฒนาตัวเอง การถามคำถามที่เปิดกว้าง ที่ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด จะช่วยให้พวกเขาสำรวจความคิดของตัวเอง และค้นพบวิธีแก้ไขปัญหาที่เป็นของตัวเอง นอกจากนี้ การถามคำถามที่ท้าทาย จะช่วยให้พวกเขาออกจาก comfort zone และพัฒนาศักยภาพของตัวเอง

3. ให้ feedback อย่างสร้างสรรค์

Feedback ที่สร้างสรรค์คือ feedback ที่ช่วยให้พนักงานพัฒนาตัวเองได้ Feedback ที่ดีควรเฉพาะเจาะจง เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ นอกจากนี้ การให้ feedback ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง และเน้นที่จุดแข็งของพนักงาน จะช่วยให้พวกเขายอมรับ feedback ได้ง่ายขึ้น

การมอบหมายงานอย่างชาญฉลาด: การกระจายอำนาจและการเสริมสร้างศักยภาพ

การมอบหมายงานอย่างชาญฉลาดไม่ใช่แค่การโยนงานให้คนอื่นทำ แต่เป็นการมอบหมายงานที่เหมาะสมให้กับคนที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถของพวกเขา การมอบหมายงานที่ดีควรชัดเจน มีเป้าหมายที่วัดผลได้ และให้อิสระแก่พนักงานในการตัดสินใจ

1. เลือกคนที่เหมาะสมกับงาน

การมอบหมายงานให้กับคนที่เหมาะสมกับงานเป็นสิ่งสำคัญ การพิจารณาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของพนักงานแต่ละคน จะช่วยให้เรามอบหมายงานที่พวกเขาจะสามารถทำได้ดี นอกจากนี้ การพิจารณาความสนใจและความถนัดของพวกเขา จะช่วยให้พวกเขามีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

2. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้

เป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้จะช่วยให้พนักงานเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำอะไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ การกำหนดเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) จะช่วยให้พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ นอกจากนี้ การให้ feedback อย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับความคืบหน้า จะช่วยให้พวกเขาสามารถปรับปรุงและพัฒนาตัวเองได้

3. ให้อิสระในการตัดสินใจ

การให้อิสระแก่พนักงานในการตัดสินใจ จะช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของงาน และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น การให้พวกเขาเลือกวิธีการทำงาน ตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และรับผิดชอบผลลัพธ์ จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ นอกจากนี้ การให้อิสระแก่พวกเขาในการทดลองไอเดียใหม่ๆ จะช่วยให้พวกเขาสร้างสรรค์และพัฒนาวิธีการทำงานที่ดีขึ้น

การสร้างความไว้วางใจ: รากฐานของความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง

ความไว้วางใจคือรากฐานของความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างผู้นำและพนักงาน พนักงานที่ไว้วางใจผู้นำจะกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะเสี่ยง และกล้าที่จะทำผิดพลาด การสร้างความไว้วางใจเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส และน่าเชื่อถือ

1. เป็นคนที่ซื่อสัตย์และโปร่งใส

ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ การพูดความจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก การเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็น และการทำตามสัญญา จะช่วยให้พนักงานเชื่อมั่นในตัวเรา นอกจากนี้ การยอมรับความผิดพลาด และการแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็ว จะช่วยแสดงให้เห็นว่าเรามีความรับผิดชอบและพร้อมที่จะเรียนรู้

2. ทำตามสัญญา

การทำตามสัญญาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ การรักษาสัญญาที่เราให้ไว้กับพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ จะช่วยให้พวกเขารู้ว่าเราเป็นคนที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ การสื่อสารอย่างชัดเจนหากเราไม่สามารถทำตามสัญญาได้ และอธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถทำได้ จะช่วยลดความผิดหวังและความไม่พอใจ

3. รับฟังและใส่ใจ

การรับฟังและใส่ใจพนักงานเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ การให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาพูด การถามคำถามที่แสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจ และการตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขา จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าเราให้คุณค่ากับพวกเขา นอกจากนี้ การแสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อพวกเขามีปัญหา และการให้การสนับสนุนเมื่อพวกเขาต้องการ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้น

องค์ประกอบ คำอธิบาย ประโยชน์
วัฒนธรรมการเรียนรู้ สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้และความผิดพลาด เพิ่มความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรม
แรงบันดาลใจภายใน ช่วยให้พนักงานค้นพบความหมายในงานที่ทำ เพิ่มความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการทำงาน
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความเข้าใจและการทำงานร่วมกัน ลดความขัดแย้งและความเข้าใจผิด
การมอบหมายงานอย่างชาญฉลาด กระจายอำนาจและพัฒนาทักษะของพนักงาน เพิ่มความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วม
ความไว้วางใจ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างผู้นำและพนักงาน เพิ่มความกล้าที่จะเสี่ยงและแสดงความคิดเห็น

การให้รางวัลและการยอมรับ: การสร้างขวัญและกำลังใจ

การให้รางวัลและการยอมรับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน การให้รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นเงินเสมอไป การให้คำชม การให้โอกาสในการทำงานที่ท้าทาย หรือการให้การยอมรับในที่สาธารณะ ก็สามารถสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับพนักงานได้

1. ให้คำชมอย่างจริงใจ

คำชมที่จริงใจสามารถสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับพนักงานได้ การชมเชยความสำเร็จของพวกเขา การชื่นชมความพยายามของพวกเขา และการให้กำลังใจเมื่อพวกเขาท้อแท้ จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับและมีคุณค่า นอกจากนี้ การให้คำชมอย่างเฉพาะเจาะจง และอธิบายว่าทำไมเราถึงชื่นชมพวกเขา จะช่วยให้คำชมนั้นมีความหมายมากขึ้น

2. ให้โอกาสในการทำงานที่ท้าทาย

การให้โอกาสในการทำงานที่ท้าทายสามารถช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะและความสามารถของพวกเขา การให้พวกเขาเข้าร่วมโครงการที่สำคัญ การมอบหมายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการให้พวกเขาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการไว้วางใจและมีคุณค่า

3. ให้การยอมรับในที่สาธารณะ

การให้การยอมรับในที่สาธารณะสามารถสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้กับพนักงาน การประกาศชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาในการประชุม การเขียนบทความเกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขา และการให้รางวัลแก่พวกเขาในงานเลี้ยงประจำปี จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหารการโค้ชชิ่งแบบผู้นำไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นปรัชญาในการบริหารคนที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพของพนักงานทุกคน การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ การเติบโต การสื่อสาร และความไว้วางใจ จะช่วยให้พนักงานทุกคนสามารถปลดล็อกศักยภาพของตัวเอง และมีส่วนช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จการโค้ชชิ่งแบบผู้นำไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนเติบโตไปพร้อมกัน การนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้คุณสร้างทีมที่แข็งแกร่ง และพร้อมเผชิญกับทุกความท้าทายไปด้วยกัน

บทสรุป

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาทักษะการโค้ชชิ่งของคุณนะคะ การเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเรามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เราก็จะสามารถเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจและนำทีมไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอนค่ะ

อย่าลืมว่าการโค้ชชิ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน จงให้กำลังใจตัวเองและทีมงานอยู่เสมอ แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมนะคะ

ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

1. คอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการโค้ชชิ่ง: SkillLane, FutureSkill มีคอร์สมากมายให้เลือกเรียนตามความสนใจและงบประมาณ

2. หนังสือแนะนำ: “The Coaching Habit” โดย Michael Bungay Stanier เป็นหนังสือที่อ่านง่ายและนำไปปรับใช้ได้จริง

3. พอดแคสต์: “Coaching for Leaders” โดย Dave Stachowiak เป็นพอดแคสต์ที่ให้ความรู้และเทคนิคเกี่ยวกับการโค้ชชิ่งที่น่าสนใจ

4. สมาคมโค้ชมืออาชีพ (ICF): เป็นองค์กรที่ให้การรับรองโค้ชมืออาชีพและมีแหล่งข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการโค้ชชิ่ง

5. เวิร์คช็อปและสัมมนา: ติดตามข่าวสารและเข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือสัมมนาเกี่ยวกับการโค้ชชิ่งเพื่อเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น

สรุปประเด็นสำคัญ

การโค้ชชิ่งแบบผู้นำเน้นการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ การให้แรงบันดาลใจ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การมอบหมายงานอย่างชาญฉลาด และการสร้างความไว้วางใจ

การให้รางวัลและการยอมรับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน

การพัฒนาทักษะการโค้ชชิ่งต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่าอย่างแน่นอน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: การโค้ชชิ่งแบบผู้นำต่างจากการสั่งงานแบบเดิมๆ อย่างไร?

ตอบ: โห, ต่างกันเยอะเลยครับ! ลองนึกภาพว่าการสั่งงานเหมือนการบอกให้คนขับรถไปที่หมาย โดยที่ไม่บอกทางหรือสอนวิธีการขับ การโค้ชชิ่งแบบผู้นำเหมือนการเป็น GPS ให้เขา พร้อมทั้งสอนเทคนิคการขับรถให้เก่งขึ้นด้วยตัวเอง ผมว่ามันคือการลงทุนในตัวคนมากกว่าแค่สั่งให้เขาทำอะไรบางอย่างให้เสร็จไป

ถาม: แล้วถ้าพนักงานไม่ตอบสนองต่อการโค้ชชิ่งล่ะ ควรทำยังไง?

ตอบ: อันนี้เจอบ่อยครับ! สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบสนอง อาจจะเป็นเพราะเขายังไม่เชื่อใจเรา หรืออาจจะรู้สึกว่าเรากำลังจับผิดเขาอยู่ ผมว่าต้องเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก่อนครับ คุยกับเขาด้วยความจริงใจ รับฟังปัญหาของเขา แล้วค่อยๆ โค้ชชิ่งเขาไปทีละขั้น บางทีอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการโค้ชชิ่งให้เหมาะกับแต่ละคนด้วยครับ

ถาม: มีตัวอย่างการโค้ชชิ่งแบบผู้นำที่เห็นผลชัดเจนบ้างไหม?

ตอบ: เล่าให้ฟังเลยครับ! ผมเคยเจอเคสที่พนักงานขายคนหนึ่งยอดขายตกต่ำมาก แทบจะหมดไฟในการทำงาน ผมเลยลองคุยกับเขาแบบเปิดอก ถามถึงเป้าหมายในชีวิตของเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เป้าหมายเรื่องงาน ปรากฏว่าเขาอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ผมเลยช่วยเขาตั้งเป้าหมายยอดขายที่เชื่อมโยงกับความฝันของเขา แล้วช่วยวางแผนการทำงานใหม่ ให้เขามีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ปรากฏว่ายอดขายเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมเขายังมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นด้วยครับ ผมว่าการโค้ชชิ่งที่ดีคือการช่วยให้เขาค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองนั่นแหละครับ

📚 อ้างอิง